วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

*review* Work and Travel เอเจนซี่ ขั้นตอน สัมภาษณ์งาน

สวัสดี เพื่อนๆทุกคนที่หลงมาอ่าน Blog นี้
เราคิดอยู่นานมากว่าจะทำรีวิวตอนนี้เลยดีมั้ย หรือให้จบโครงการก่อน
แต่คิดไปคิดมาก็ทำไว้เลยดีกว่า เพราะอยากจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ให้ทุกคนได้อ่าน แล้วก็อยากเก็บเป็นไดอารี่เล็กๆของตัวเองด้วย
(รีวิวนี้อาจจะมีแต่ตัวอักษรล้วนๆ หวังว่าจะไม่เบื่อนะ ใครอยากรู้เรื่องสัมภาษณ์งานแบบละเอียดๆเลื่อนไปด้านล่างเลยนะคะ😆)



ถ้าใครได้เซิร์ดข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจากที่หลายๆคนรีวิวแล้ว ก็จะพอรู้ว่าการไปเวิร์กนี้คืออะไร เอเจนซี่สำคัญแค่ไหน (ถ้าใครยังไม่รู้แนะนำให้อ่านเยอะๆๆ เพราะมีพี่ๆรีวิวไว้ดีๆหลายคนมากๆ หรือกลุ่มใน facebook ก็มีประโยชน์มากๆเลย)

เราเป็นคนนึงที่ผ่านการเปลี่ยนเอเจนซี่มาครั้งนึงก่อนที่จะมาเลือกเอเจนนี้ ด้วยปัญหาการเลือกงานที่ค่อนข้างยาก แล้วติดต่อสื่องานกับเอเจนลำบาก สุดท้ายก็มาจบที่เอเจน Acadex
เรายังไม่ได้รับประกันว่าเอเจนนี้ดีร้อยเปอร์เซนนะ เพราะเราพึ่งร่วมโครงการ ยังไม่ได้เดินทางไปเลย 
แต่ตั้งแต่เข้าร่วมมาจนตอนนี้ยังไม่มีปัญหา สิ่งหนึ่งที่ชอบที่สุดคือด้านการสื่อสารที่สะดวกรวดเร็วมาก 
หากใครกำลังเลือกเอเจนอยู่ก็ขอแนะนำอีกทีว่าลองหารีวิวอ่านเยอะๆนะคะ

ขั้นตอน

ของเอเจนนี้คือ เขาจะมีงานอัพเดตไว้ที่เว็ปของเขาค่ะ แบ่งงานออกเป็น 3 ส่วน คือ Promotion locations, Premium locations และ Exclusive premium locations เราคิดว่าส่วนที่ต่างกันของสามอย่างนี้ ก็คือส่วนลดค่ะ อีกอย่างถ้าเราเลือกงานได้เร็วก็จะได้ส่วนลดเยอะด้วยค่ะ
เอเจนนี้ไม่ต้องสอบวัดระดับภาษา และไม่จำกัดการเลือกงาน แต่พี่เขาก็มีtestให้ถ้าเราอยากรู้ว่ารดับภาษาเราอยู่ขั้นไหน และแต่ละงานเขาก็มีเขียนไว้ว่าเขาอยากได้ระดับประมาณไหนด้วย แต่ข้อดีอยู่ที่ว่าถ้าหากระดับภาษาเราอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ เราสามารถเลือกงานนั้นได้นะ แล้วไปวัดกันตอนสัมภาษณ์อีกที

ขั้นตอนแรกหลังจากที่เราเลือกงานได้เราก็จองงานโดยเราโทรไปบอกพี่Acadex ค่ะ แล้วต้องจ่ายเงินงวดแรก 4900บาทเป็นค่าจองงานค่ะ

ขั้นตอนที่2 หลังจากนั้นเราต้องอัพโหลดเอกสารลงในเว็ป (จะมีใบรับรองแพทย์ด้วยที่เราเคยรีวิวไว้ใน Blog ของรพ.จุฬา http://mukatay23.blogspot.com/2017/11/review.html )

ขั้นตอนที่ 3 หลังจากเราจ่ายเงินงวดแรกไปหนึ่งเดือน เราต้องจ่ายเงินงวดที่ 2 ซึ่งรอบนี้แต่ละคนจะไม่เท่ากันนะขึ้นอยู่กับงานที่เลือก และส่วนลดที่ได้

หลังจากนั้นเราก็รอสัมภาษณ์งานอย่างเดียวค่ะ เราจะรู้วันก็ต่อเมื่อทางนายจ้าง หรือเอเจนอเมริกาเขาติดต่อมาทางAcadex  ซึ่งของเราพี่เขาบอกเป็นหลังปีใหม่เลย ธันว่าเราก็รีบไปเที่ยวยาวๆ แล้วทำตัวให้ว่างหลังปีใหม่รอ5555

สัมภาษณ์งาน

เราสัมภาษณ์งานสองรอบค่ะ รอบแรกน่าจะเป็นของเอเจนซี่มาสัมภาษณ์ผ่านทางสไกป์ และรอบสองนายจ้างบินมาสัมที่ศูนย์ Acadexเลย


รอบแรกหลังปีใหม่พี่เขาก็โทรมาทันทีเลยค่ะ โดยตอนแรกเราได้คิวสัมภาษณ์วันที่ 3 ม.ค. ตอน00.40 แต่เขาไม่ได้สไกป์มา เราก็รอจนพี่ Acadexโทรมาตอนตี2กว่าว่าทางนั้นเราเกิดปัญหา จะนัดสัมใหม่ทีหลัง

เราได้นัดวันสัมใหม่วันที่ 8 ม.ค. ตอน21.40 ค่ะ ผ่านสไกป์แล้วเขาไม่เปิดกล้องค่ะ เลยได้ยินแต่เสียง(น่ากลัวมากอ่ะ) คำถามที่เขาถามเราก็จะมีให้แนะนำตัว เรียนอยู่ไหน ทำไมถึงรวมโครงการเคยทำงานมาก่อนมั้ย แพลนในอีก10ปีอยากทำอะไร ความสามารถพิเศษ เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือเฮดของงานอะไรมั้ย เคยไปต่างประเทศมั้ย ประมาณนี้ แต่รอบนี้เหมือนคุยกับหุ่นยนต์เลยอ่ะ แบบถามแล้วก็พิมอะไรซักอย่าง ไม่มีถามต่อ แล้วก็ไม่ให้ถามอะไรด้วย มันเลยทำให้เราเครียดและเกรงเข้าไปใหญ่ คิดคำตอบไม่ออกเลย😵 บางคนที่ไปงานเดียวกันเจอคำถามว่า 10 เซนต์ เรียกว่าอะไร มีเงินล้านจะเอาไปทำอะไร ก็มี
วันถัดมาพี่เขาก็โทรมาบอกว่าสัมภาษณ์ผ่านแล้วค่ะ แล้วก็บอกต่ออีกว่านายจ้างจะสัมอีกรอบ.. แอบดีใจและเสียใจ5555

รอบที่สอง นายจ้างนัดวันสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ค่ะ ตอนแรกนัดสัมภาษณ์เป็นตอนหกโมงเย็น แต่พอวันจริงพี่acadexโทรมาบอกตอนเที่ยงว่านายจ้างขอเลื่อนเป็นบ่ายสามแทน😵 ตอนนั้นเรากำลังจะพรีเซนต์งาน ก็ต้องรีบขอคนแรกแล้ววิ่งออกจากคณะเลย เพราะเราเรียนลาดกระบังเลยใช้เวลาเดินทางเยอะ
นายจ้างเป็นคนเกาหลีที่ย้ายไปอยุ่อเมริกาค่ะ แต่เขาอยู่นานมากๆเลยเลยไม่ต่างจากคนอเมกันเลยค่ะ เขาให้เข้าสัมภาษณ์ทีละ 5 คน โดยเราเข้าไปกรุ๊ปที่สองนะ เราว่าบรรยากาศการสัมภาษณ์รอบนี้ไม่ค่อยเครียดเหมือนรอบแรก
พอเข้าไปนายจ้างแนะนำตัวว่าเป็นใคร มากจากไหน แล้วพวกเขาทำอะไรกันเมื่ออยู่ที่โน่น โดยเขามีคลิปมาให้เราดูด้วยนะ เป็นคลิปที่เขาพากเด็กไทยปีที่แล้วไปเที่ยวที่ต่างๆค่ะ และเขาก็ถามว่าเราไปกับเพื่อนรึป่าว คือกรุ๊ปเราเข้ามีเราไปกับเพื่อนผู้หญิงสองคน แล้วอีก3คนเป็นผู้ชายที่มาด้วยกัน เสร็จเขาก็ให้เรานะนำตัวทีละคนว่าเราคือใคร อายุเท่าไหร่  เรียนอะไร ทำไมอยากไปโครงการนี้ แล้วก็เวลาที่เราสามารถเริ่มทำงานให้เขาแล้วก็เวลาจบงาน ซึ่ง ม.เราเปิดเทอมเร็วมากกก เราเลยจบงานก่อนเวลา แล้วนายจ้างก็ตกใจนิดๆ ถึงขนาดบอกว่า " ภาษาของคุณโอเคอยู่นะ แต่ถ้าเกิดคุณไม่ได้งานนี้ ก็ให้รู้ไว้เลยว่าเหตุผลเดียวเพราะเรื่องเวลาจบงาน " เขาอยากได้คนที่จบงานได้ตามที่เขากำหนดไรงี้ แต่เราไม่ได้จริงๆเพราะแค่เวลาที่บอกเขาก็น่าจะขาดเรียนเกือบสองอาทิตย์แล้ว😭😭😭😭😭😭
เขาก็อธิบายถึงลักษณะงานเขาต่อว่าอยู่กันยังไง ได้ชม.งานเท่าไหร่ขอเพิ่มได้มั้ย เขาถามด้วยว่ารู้รึป่าวว่าพวกผมขายอะไร ซึ่งเพื่อนก็ตอบเฟรนฟราย ไอศครีมไรงี้ แล้วเราก็ตอบเบอร์เกอร์กับมิลค์เชคด้วย รึป่าว
แล้วเขาก็บอกว่าปกติมีนะ แต่สาขาที่คุณจะไปทำงานเราไม่มีขายเบอร์เกอร์กับมิลค์เชค555555 เด๋อไปอีก
เขาถามอีกด้วยว่าคุณซีเรียสมั้ยถ้าเพื่อนคุณไม่ได้งานนี้แต่คุณได้ ซึ่งทั้งห้องก็ตอบว่าไม่
สุดท้ายเขาก็ให้เราถามคำถามกลับ ก็มีเพื่อนถามเรื่องที่อยู่ การเดินทาง ต้องเอาอะไรไปบ้าง มีมาร์เก็ทมั้ยทั่วไป
จนสุดท้ายเราถามเขาว่า Can I ask some stupid question? เขาก็หัวเราะเลยแล้วก็บอกอยากรู้ว่าจะถามอะไร เราเลยถามว่า คุณชอบกินอาหารไทยมั้ย55555555555 ทั้งห้องก็ขำเลยอ่ะ เขาก็ตอบว่า I really like thai food เราเลยบอกว่าถ้าอยากลองเราทำให้กินได้นะ เขาก็ขำแล้วบอกว่าคุณไม่ต้องเสนอแต่ผมจะขอให้คุณทำให้ผมกินเลย อาจจะมีซักweekendที่เราทำอาหารกินด้วยกันไรงี้ เราก็เลยขายของต่อเลยว่าเราทำอาหารเกาหลีได้ด้วย เราชอบเรียนทำจากยูทูปที่คนเกาหลีเป็นคนสอน แล้วก็ทำมั่วๆให้แม่เป็นเหยื่อในการชิมไรงี้ เขาก็ถามต่อว่ามีใครจะถามคำถามโง่ๆอีกมั้ย5555 แล้วก็ขำไม่หยุด เพื่อนเราเลยบอกว่ามี แล้วก็ถามเขาว่าอาหารไทยที่เขาชอบคืออะไร เขาก็บอกว่าต้มยำกุ้ง แล้วก็ส้มตำ ซึ่งเรากับเพื่อนมาจากขอนแก่นทั้งคู่เลยบอกว่า เนี่ยฉันมาจาก northeast of thailand เลยนะ ที่นั้นส้มตำเป็นออริจินอลเลย ตอนแรกเขาก็งงนิดๆ เพื่อนผู้ชายเลยถามว่าเรามาจากจังหวัดอะไร เราบอกขอนแก่น เพื่อนก็อ่ออ แล้วบอกนายจ้างว่าส้มตำอร่อยสุดก็ที่ขอนแก่นนี้แหละ5555 เราก็บอกเราทำเป็นงี้ถ้านายจ้างอยากลอง เขาก็ขำๆตลกเรา

สรุป เย็นวันนั้นพี่acadexโทรมาบอกว่าเรากับเพื่อนสัมภาษณ์งานผ่านทั้งสองคนเลยค่ะ😁
ส่วนตัวเราคิดว่าการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์งานเป็นสิ่งที่ควรทำนะ เราเป็นคนนึงที่เขียนคำตอบไว้เผื่อนายจ้างถามไว้เยอะมาก แล้วก็อ่านรีวิว ดูยูทูป ฝึกพูดทั้งกับพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน จนเกือบจะท่องคำตอบเลยทีเดียว แต่พอเรามาสัมภาษณ์จริง ขอยืนยันอีกเสียงเลยว่ามันไม่มีทางเหมือนที่เราซ้อมมาแน่ๆ ทางที่เราแนะนำคือหาโอกาสที่จะใช้มันให้เยอะๆ(เช่นอยู่กับเพื่อนเราก็บอกเราลองพูดแต่อังกฤษกันดูมั้ย เรื่องทั่วไปนี้แหละ หรือดูหนังแล้วลองพูดตามให้มันติดปาก หรือในยูทูปก็มีหลายช่องที่มีคอนเท้นดีๆ ดูแล้วไม่เบื่ออย่างครูลูกกอล์ฟ พี่พีชอะไรงี้ อีกวิธีของเราคือเราชอบดูbeautybloggerต่างชาติ แล้วเราก็ได้ฟังสำเนียงหลายๆแบบ แรกๆก็ไม่เข้าใจหรอกเอาจริงๆ แต่พอเราดูไปเรื่อยๆมันจะเริ่มเข้าใจจากคำสองคำเป็นประโยคไรงี้) แล้วก็คิดว่าการมาสัมภาษณ์เหมือนเรามาพูดคุยเล่นกับชาวต่างชาติทั่วไป  ไม่ต้องจริงจังกับมันมากก็ได้ ถ้าไม่ได้เราก็เอาใหม่ ไม่เข้าใจเราก็ถาม เพราะยังไงมันก็เป็นภาษาที่2ของเรา ไม่มีทางที่เราจะรู้ไปหมดทุกอย่างหรอก(ประโยคนี้ลอกพี่ลูกกอล์ฟมา5555)

 ขอให้เพื่อนๆโชคดีกับการสัมภาษณ์นะคะ เจอนายจ้างดีๆ สัมงานๆไม่เครียด แล้วก็ผ่านทุกคนเลย



แถม

ฝึกแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ สำคัญคือ พูดชื่อเราช้าๆให้เขาฟังทัน บอกชื่อเรียน อายุห้ามลืม มหาลัยเป็นชื่อเต็ม แล้วคณะตามด้วยสาขา 

ถ้าเขาถาม how are you ก็ควรถามกลับเป็นมารยาท

ลองฝึกตอบคำถามว่าทำไมถึงอยากรวมโครงการนี้ ก็ให้ลองหาเหตุผลที่ดูน่าสนใจไม่ซ้ำกับคนอื่นๆ

ถามว่าเคยทำงานมาก่อนมั้ย สำคัญควรจะมี พี่ก็ให้ลองๆคิดๆดู บอกได้หมดตั้งแต่ฝึกงานกับที่ม. หรือขายของออนไลน์ หรือทำกิจกรรมกับในมหาลัย เพราะส่วนใหญ่อายุประมาณเราในเมกาเขาเริ่มทำงานกันแล้ว พี่เลยแนะนำว่าถ้าเรามีประสบการณ์ทำงานจะดีกว่านะ

งานอดิเรกก็ทั่วไปบอกได้หมดเลย

เป้าหมายในชีวิต ควรมี เพ้อฝันแค่ไหนก็ได้ เพราะเมกาเป็นเมืองของนักฝันอยู่แล้ว อาจจะบอกประมาณว่า อายุ25อยามีรถ 27อยากมีบ้านของตัวเอง สร้างแบรนตัวเอง ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอะไรแบบนี้ก็ได้

จุดอ่อน จุดแข็ง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยถาม แต่อาจจะเตรียมๆไว้ก็ได้ แนะนำคือควรต่างกันสุดขั้ว ไม่ใช่แบบว่าจุดแข็งคือขยันทำงาน แต่จุดอ่อนคือตื่นสายไรงี้

ถ้าเขาถามว่ามีเพื่อนที่จำเป็นต้องไปด้วยกันรึป่าว แล้วมี ก็ให้เตรียมทำตอบดีๆ ว่าทำไมต้องไปด้วยกัน อาจจะตอบเช่น เรารู้จักกับเขามานานแล้วรู้จักกันดีมาก ทำงานเข้ากันได้ง่ายแบบมองตารู้ใจ ทีมเวิร์กดีไรงี้ อาจจะเสริมว่าถ้าไปกับเพื่อนมันจะทำให้การไปครั้งนี้ได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า บลาๆๆ

ถ้าเขาถามเรื่องงานสอง ก็ตอบว่าใช่ แต่งานของเขาจะสำคัญเป็นอันดับแรกไรงี้

มีปัญหาตอนทำงานจะทำอย่างไร ขั้นตอนที่ดีควรจะ ขอโทษลค.ก่อนเสมอ เจรจาด้วยความใจเย็น ถ้าไม่ไหวก็รายงานเมนเนเจอร์ทันที

ถ้าเขาถามว่ามีคำถามเพิ่มเติมมั้ย ควรมี! อาจจะถามเรื่องเมือง เรื่องการเดินทาง เรื่องเวลาทำงานไรงี้ได้หมด

*เพิ่มเรื่องที่ไม่ควรพูดเลย ไม่ว่าจะตอนสัมหรือตอนที่ไปอยู่นั้น คือ การเมือง สีผิว ศาสนา รูปร่าง ห้ามเด็ดขาดด*

ถ้าจะเริ่มงานช้า หรือจบงานก่อนควรถาม

ทำไมถึงเลือกงานที่นี้ ควรไปหาข้อมูลของบริษัทนั้นๆไว้ เช่น ร้านอาหารนี้อะไรดัง ทำไมคนต้องไปกิน  ไม่ใช่ตอบว่า เพราะให้เงินดี ใกล้ที่เที่ยว เงินทางง่าย แบบนี้ไม่เอา

รู้ไรเกี่ยวกับเมืองบ้าง ก็ควรหาข้อมูลไว้เช่นกัน

ถ้าสัมแบบสไกป์ แล้วเขาไม่เปิดกล้อง เราควรเปิดนะ เขาจะได้รู้ว่าเป็นเราจริงๆ ให้อยู่คนเดียวเท่านั้น ห้ามให้ใครเดินผ่าน เพราะถ้าเรามองเขาอาจจะดูรู้แล้วคิดว่าเราอาจจะโกงให้เพื่อนช่วยงี้ ไม่ควรหมุนกล้องไปมา ตั้งไว้นิ่งๆ

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

*review* Oyado Hayakawa ryokan KINOSAKIONSEN


review
OYADO HAYAKAWA KINOSAKIONSEN




หลังจากทรหดกับการเรียนรวม4เดือน
เดือนธันวาคมก็มาถึงซักที
ได้เวลาที่เราจะพักผ่อนแล้วว

รอบนี้เราหนีหน้าหนาวปลอมๆที่ประเทศไทยมาเจอหน้าหนาวแบบชนิดที่ว่าไม่พร้อมตั้งตัวที่ญี่ปุ่น

ที่ว่าไม่พร้อมตั้งตัวคือยังไง?

ก็เพราะเราไม่คิดว่าเราจะเจอหิมะนะสิ!!!

หลังจากอยู่โอซาก้ามา5วันเราก็ย้ายเมืองมาเที่ยวต่อที่เมือง KINOSAKIONSEN ซึ่งเมืองนี้มีคนไทยมาเที่ยวค่อยข้างเยอะเลยทีเดียว มีรีวิวเรื่องออนเซ็นก็เยอะ

แต่ที่เราจะมารีวิวในวันนี้คือ เรียวกัง ในคิโนซากิ

เรียวกังนี้ตอนเราหาข้อมูลยังไม่เจอคนไทยรีวิวเลย เลยคิดว่าไหนๆก็มาแล้วมีรีวิวเป็นช้อยให้คนที่จะมาหน่อยแล้วกัน :)

ปล.1 เมืองคิโนซากิ เป็นเมืองออนเซ็นที่มีออนเซนสาธารณะถึง 7บ่อ บางคนจะแวะมาแช่แล้วก็กลับ เสียแค่ค่าเข้าประมาณ600เยน แต่ถ้ามาพักในเรียวกังที่เมืองนี้จะสามารถเข้าแช่ฟรีได้ทุกบ่อเลยจ้า

.

มาเริ่มกันเล้ยยยยยยยย~



เรียวกังที่เราพักชื่อ OYADO HAYAKAWA
เราจองผ่านagoda มาในราคาหกพันกว่าๆ
เป็นห้อง Japanese-style Superior Room
เข้าพัก 3คนด้วยกัน
เข้าพักที่นี้ต้องจ่ายด้วยเงินสดเท่านั้นนะ ไม่รับบัตรเครดิตจ้า

ซึ่งในราคานี้ถือว่าถูกมาก เราไม่มีอาหารซักมื้อ
แต่ช่วงที่เราจองโรงแรมที่รวมอาหารนี้ราคาหมื่นอัพทั้งนั้นเลย - -"

ปล.2 หลังจากที่ได้มาพักแล้วคิดว่าแบบมีอาหารน่าจะดีกว่านะ เพราะวันที่เรามาหิมะตกหนักมาก ออกไปข้างนอกก็ยาก แฉะมาก แล้วหลังจากออนเซ็นเสร็จประมาณ6โมงกว่า ร้านค้าปิดเกือบหมดด เลยได้ไปกินร้านอาหารทะเลอยู่ร้านหนึ่งราคาค่อนข้างแพง (1,080+++) นอกจากพวกร้านสะดวกซื้อแล้วแถบไม่มีร้านไหนเปิดเลย TT^TT

เราเดินทางมาถึงสถานี kinosakionsen ประมาณบ่าย2 ที่ช็อคมาคือ หิมะตก เราเตรียมใจมานิดหน่อยแล้วหลังจากดูพยากรณ์อากาศคืนก่อนมาว่ามีหิมะแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะตกหนักขนาดนี้!

ตัวเรียวกังอยู่ห่างจากโรงแรมเพียง 500เมตร แต่เพราะด้วยเหตุหิมะตกหนักเราจำต้องนั่ง Taxi แทน


ที่รอ taxi จะออกจากสถานีเดินมาทางซ้ายก็เจอน้า ที่สถานีจะมีร่วมให้ยืมด้วยสีชมพู เอาไปแขวนคืนได้ที่โรงแรมเลย

เราเสียค่าแท๊กซี่ไป 640¥ เป็นราคาเริ่มเลย55
เพราะโรงแรมใกล้มาขึ้นแปปๆก็ลง

ถึงเรียวกังเดินมาด้านใน ก็เจอกับคุณลุงคุณป้าเจ้าของโรงแรมเลย



คุณลุงมาต้องรับเราคนแรก พูดถาษาอังกฤษเก่งมากกก
เขาจะถามว่าเรามาจากประเทศอะไร แล้วมีป้ายชื่อพร้อมรูปธงชาติเราแปะไว้หน้าเค้าเตอร์เลย555

เขาจะให้เราไปนั่งตรงชุดรับแขกก่อนแล้วกรอกข้อมูลเช็คอินเข้าพัก และขอพาสปอร์ต
ระหว่างนั้นคุณป้าจะเอาชาร้อนมาเสิร์ฟ คล้ายหนาวได้มากๆ♡

จากนั้นคุณลุงก็อธิบายเรื่องการเข้าพักที่นั้น ตั้งแต่การไปออนเซ็น ที่ไหนเปิดปิดกี่โมง มีแผนที่ภาษาอังกฤษให้ แล้วก็อธิบายถึงการใช้บัตรห้อยคอไปแช่ออนเซ็น แล้วก็ชุดยูกาตะที่มีให้เลือกใส่ จะมีชั้นตรงนั้นพอดีวางชุดของผู้หญิงให้เลือกมีประมาณ5ลาย ส่วนของผู้ชายมีลายเดียวนะ เราก็ชี้ๆคุณป้าจะถือตามขึ้นห้องให้เลย ส่วนรองเท้าจะมีเกี๊ยะให้ใส่ แต่พอดีว่าช่วงเรามาหิมะตกหนักมากกก จึงมีเป็นบูทให้ใส่แทน ของผู้ชายสีดำ ผู้หญิงสีขาว

จากนั้นพอได้กุญแจคุณป้าจะพาเดินขึ้นไปที่ห้อง เราได้พักห้องหมายเลข 1พอดี~

นี้คือวิวที่ถ่ายจากระเบียงห้อง หิมะกำลังตกหนักเลย

คุณป้าก็จะอธิบายวิธีไปออนเซ็นต่อ
จะมีอุปกรณ์ให้คือ ผ้าผืนใหญ่และเล็ก ใส่ถุงพลาสติกถือไปออนเซ็น และสอนวิธิใส่ยูกาตะ
(เข้าใจง่ายๆคือ ขวา ทับด้วย ซ้าย)
ชุดที่เราได้จะมี 3ชั้น สำหรับหน้าหนาว
คือเสื้อที่เราเลือกมา เสื้อสีเขียวยาวคลุม แล้วผูกโบว์ จากนั้นจะมีเสื้อสีเขียวสั้นคลุมอีกชั้น
จะมีถุงเท้าสำหรับใส่เกี๊ยะให้ด้วย

ไม่จำเป็นต้องถอดข้างในออกหมดนะ เราใส่ลองจอนที่ใส่มาอยู่แล้วไว้ได้เลย ตอนแรกแอบคิดว่าจะกันหนาวไม่ได้ แต่พอใส่ออกไปออนเซ็นตอนหิมะตก คือมันเริศมาก!!
แอบคิดว่าอุ่นกว่าเสื้อโค้ชเราอีก (ซะงั้น)

คุณป้าบอกว่า ตอนนอนเราก็ใส่แค่เสื้อที่เราเลือกมาชั้นเดียวก็พอ ถ้าหน้าร้อนจะใส่กันแบบนี้ หน้าหนาวปกติก็ใส่แค่ 2ชั้น(ชุดที่เลือกมากับเสื้อเขียวสั้น) พอหิมะตกเลยมีชั้น 3ให้

คุณป้าพูดอังกฤษไม่เก่งเท่าคุณลุง แต่เราก็เข้าใจหมดนะ ไม่ต้องกลัวเพราะเขามีคู่มือแนะนำเป็นแผ่นป้ายภาษาอังกฤษทั้งหมดเลย~

จากทางเข้าห้อง


โรงแรมบางทีเห็นรีวิวว่าไม่มีห้องน้ำส่วนตัว แต่ที่นี้มีให้นะ ถือว่าดีเลยทีเดียว เพราะว่าเราดันเป็นประจำเดือนตอนที่มาพอดี T^T เลยไม่ได้แช่ออนเซ็นเลย ได้แต่แช่คนเดียวเหงาๆในห้อง

วิธีปรับอุณหภูมิน้ำในห้อง บิดไปทางซ้ายคือน้ำเย็น ตรงกลางคือน้ำอุ่น แล้วขาวคือน้ำร้อน
ปรับที่เดียว อุณภูมิน้ำจะเท่ากันทั้งห้องนะ

เครื่องอาบน้ำที่มีให้ที่นี้ไม่ค่อยน่าใช้เท่าไหร่
แถมในออนเซ็นก็จะเป็นสบู่แบบแบ่งขวด
ตามแฟมิลี่มาร์ทจะมียี่ห้อดีๆที่เขาจัดเป็นแบบชุดเล็กๆขายก็ไปซื้อได้นะ

ชุดจะใส่มาในถาด ตู้ด้านบนไว้แขวนเสื้อผ้าจ้า

มีฮีทเตอร์ให้ 2ตัว ตัวขวาไว้เปิดตอนเช้าอุนม๊วกกก อยากนั่งเฝ้าทั้งวัน5555 ส่วนตัวซ้ายเหมือนแอร์ไว้เปิดกลางคืนจ้า


วิวจากในห้องตอนกลางคืนจ้า

ระเบียงที่ถ่ายวิว

ด้านหลังเก้าอี้ระเบียงจะมีอ่านล้างหน้าด้วยนะ(ทำไมมาอยู่ตรงนี้หว่า)

ตอนเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม คุณลุงจะถามเราว่าเราไปไหนต่อกลับกี่โมง มีตารางรถไฟมาให้เราดู แล้วคุณลุงยังมีบริการเอากระเป๋าไปส่งให้ที่สถานีอีกด้วย โดยเราไปรับกระเป๋าได้ตรง ryokan service center ตรงข้ามสถานีเลย สะดวกมากๆ

ปล.ถ้าเราเช็คเอาท์ตอนช่วงใกล้รถไปออกแล้วคุณลุงก็จะพาไปส่งที่สถานีด้วยเลย
แต่เราอยากเดินเล่นในเมืองก่อนเลยไปแต่กระเป๋าจ้า



บรรยากาศตอนเช้า แดดออกกำลังดีเลย
หิมะก็ค่อยๆละลาย

*แถม*

ขนมเซมเบ้ของที่โรมแรมอร่อยมากกกก
ก่อนเช็คเอาท์ออกเราไปถามคุณป้าว่าหาซื้อได้ที่ไหน เพราะแม่อยากกินอีก555
คุณป้าก็เอาแผนที่มาให้ดูเลย หาซื้อที่ the palace side hotel ในเกียวโตได้ เราก็จะไปเกียวโตต่อพอดี (>.<)b
แถมคุณป้ายังเอามาให้เราเพิ่มอีก เกรงใจมากๆ แต่คุณป้ายัดใส่ถุงเรามาเลย555 ใจดีมากๆ

*แถม2*

ตอนกลางคืนเราแวะซื้ออาหารไปทานตอนเช้าที่ร้านนี้จ้า มีของถูกๆเยอะเลย ขนมก็น่ากิน
อาหารสดก็เพียบบ

.

เราอยากจะรีวิวออนเซ็นด้วยนะ แต่อย่างที่บอก เราเป็นปจด.ช่วงที่มาพอดีเลยไม่ได้แช่ซักบ่อเลย เศร้า T^T
แต่คร่าวๆจากที่พ่อกับแม่ไปแช่มา ออนเซ็นดีมาก ในแต่ละบ่อจะให้วิวที่ต่างกัน บวกกับช่วงที่เรามาหิมะตก จึงได้แช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะปล่อยๆ ฟินมากๆ (อิจฉา!)

แต่ก็แอบติเรื่องเครื่องใช้ในออนเซ็นพวกเครื่องอาบน้ำดูคุณภาพไม่ค่อยดี ไดเปาผมมีให้ใช้น้อย แล้วคนเยอะก็ต้องรอคิวกัน เราเคยไปแช่ใน hakone กับ Odaiba เครื่องอาบน้ำเขาจะมีให้เราเลือกหยิบได้หลายแบบ และของใช้ให้ครบ แต่ถ้าเทียบด้วยราคาเท่านั้นพอๆกับที่ Arima onsen ก็ถือว่าไม่ต่างกันจ้า

ส่วนโรงแรมเราโอเคมากกับราคานี้
แต่ถ้าพักที่ๆแพงกว่าแน่นอนว่าได้อะไรที่ดีกว่า เห็นชัดๆอย่างเช่น ของที่โรงแรมมีให้ บางที่จะมาเป็นตะกล้าบ้าง เป็นกระเป๋าก็มี
หรือรองเท้าบูทของแต่ละโรงแรมจะต่างกัน
บางที่จะมีบุผ้าข้างในด้วย ดูอุ่นกว่าเยอะเลยนะ

ถ้ามีโอกาสอีกครั้งหน้าเราก็อยากจะแวะมาพักที่นี้อีกนะ ถ้ามีเพื่อนๆคนไหนมาพักที่ Oyado hayakawa เหมือนกัน ก็มาเล่าให้กันฟังได้น้า

Miss V.

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review : ขอใบรับรองแพทย์ โรงบาลจุฬา


review
ขอใบรับรองแพทย์ ที่โรงบาลจุฬาค่ะ

ใบรับรองแพทย์นี้ เราเอาไปยื่นทำเอกสารเพื่อไปขอวิซ่าไป work&travel ที่อเมริกานะคะ
โดยให้ต้องพยาบาลออกให้เป็นภาษาอังกฤษเน้อ

สรุปคร่าวๆก่อนเริ่มรายละเอียด มีเพื่อนไปโครงการเดียวกันแนะนำให้เราไปที่รพ.จุฬานี้ถือว่าดำเนินการค่อนข้างเร็วทีเดียว เรียกว่าแทบไม่ได้นั่งรอเท่าไหร่เลย
เราไปถึงประมาณ9โมง เสร็จตอนเกือบๆเที่ยงค่ะ
ค่าใช่จ่ายรวม 400บาท (เดี๋ยวจะอธิบายว่ามีค่าไรบ้าง)
แนะนำให้เอา passport ตัวจริง และสำเนา2ใบมาด้วย จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ที่นี้นะคะ
และเปิดแค่เวลาราชกาลนะ!

เริ่มกันที่เอกสารที่เราต้องเอาไปยืนก่อนเนอะ ของเราใช้แค่ใบรับรองแพทย์ธรรมดา ไม่ต้องตรวจเลือด และX-ray ปอด (แต่เราได้ทำ😓 เพราะเป็นกฏขั้นต่ำของรพ.ว่าถ้าจะขอใบรับรองอย่างน้อยต้อง x-rayปอดนะจ้ะ)

ที่จริงเราเข้ามาที่รพ.วันอาทิตย์แล้ว แต่ขอใบรับรองเขาเปิดให้แค่เวลาราชการนะจ้ะ เลยต้องเข้ามาใหม่อีกวันจันทร์😣
รอบนี่เราเลยกะมาแต่เช้าซะเลย แต่สุดท้ายก็เลทไปถึง 9โมง ฮ่าๆๆ

จาก BTSศาลาแดง หรือ Mrtสีลม จะมี skywalk เดินข้ามเข้ามาที่ตึกของรพ.ได้เลยนะ ตึกที่เข้ามาเป็นตึกรปพ. พอเราลงมาชั้นล่างจะมีที่ให้กรอกประวัติสำหรับคนที่ยังไม่เคยมารพ.นี้ (เราเองง)


เดินมาที่หน้าตึกจะมีตู้อันนี้ กับพยาบาลใจดี ต้องใช้บัตรประชาชนจ้า แล้วเขาจะให้คิวเรา แล้วเข้าไปกรอกใบเขียวๆรอได้เลย


พอถึงคิว(เร็วมากๆ กะจะหนีไปเขาห้องน้ำซักหน่อย หันดูคิว อ่าวเราคิวต่อไปนี้นา)
พี่เขาจะให้เรายืนใบเขียวๆ พร้อมบัตรประชาชน แล้วก็passport ด้วยนะ ตัวจริงก็ได้ หรือสำเนา
แล้วก็ถ่ายรูป ก็จะได้บัตรของรพ.มาจ้า

จากนั้นก็เดินไปยื่นเอกสารที่ชั้น2 (มันจะมีชั้น G-M1-M2-1 ก่อนถึงจะเป็นชั้น2นะ)


พอมาถึงก็เอาไปยื่นให้พี่พยาบาลช่อง2ได้เลยค่า เราต้องยื่นสำเนาpassport ด้วยนะ 2ใบ ถ้าใครไม่มีมาพี่เขามีเครื่องถ่ายให้ 4บาทจ้า


เตรียมเอกสารเสร็จก็เดินเข้าไปยื่นด้านในเนอะ
จะมีพี่รอรับเอกสาร แล้วเขาก็จะถามเราว่าจะเอาอะไรบ้าง เอาไปทำอะไร


เราก็บอกไปว่าขอใบรับรองแพทย์ ไม่ต้องตรวจเลือด กับx-rayปอด ซึ่งพี่เขาบอกรพ.นี้ถ้าจะขอใบรับรองต้องx-ray ด้วยอย่างน้อย จะเอามั้ย เราก็โอเค เพราะตอนเพื่อนแนะนำมาได้บอกก่อนแล้วว เขาก็จะเตรียมเอกสารให้เราไป x-ray ก่อนกลับมาตรวจกับแพทย์เพื่อออกใบรับรอง แล้วก็ได้ใบเสร็จมาจ่ายเงินเลยด้วย 


ก็เสียไป 300ตามระเบียบ 

มาถึงตอนนี้ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยจ้าา
แทบไม่ต้องรออะไรเลย ซึ่งจริงๆเราปวดท้องมาตั้งแต่อยู่ mrt แล้วว ระหว่างรอจ่ายตังค์ก็เลยทิ้งเงินไว้กับเพื่อน แล้วพุ่งตรงไปให้น้ำเลย55555

หลังจากเราจ่ายตังค์แล้วก็ขึ้นไปชั้น4


พี่พยาบาลจะเอาเอกสารที่ช่อง 11 อยู่ด้านหน้านะ แล้วไปรอเรียกชื่อข้างในตรงช่อง 13


พอเขาเรียกชื่อเราแล้วก็จะได้เอกสารคืนจ้า พร้อมกับเสื้อให้เปลี่ยนด้วย ก่อนไปx-ray


ตอนเราไปคิวx-ray เยอะหน่อย แต่ก็แปปๆ 
ได้กินข้าวเหนียวที่ซื้อติดมาไป2-3คำ ต้องเดินไปต่อแล้วจ้า😂

x-ray เสร็จเราก็กลับไปด้านล่างเล้ย
กลับเอาเอกสารมายื่นที่พยาบาล เขาก็จะให้เราไปวัดน้ำหนัก ส่วนสูง ความดัน ก่อน แล้วมารอพบแพทย์นะ

ไม่นานก็ได้เข้าพบแพทย์แล้ว คุณหมอใจดี ถามเราจะไปไหน ทำไร เรียนอยู่ไหน แล้วก็ตรวจปกติจ้า เข้าไปไม่นานก็ออกมานั่งรอเรียกชื่ออีกที
ไม่นานคุณพยาบาลก็เรียกจ้า แต่เราต้องนั่งรอต่อเพราะผลx-ray ยังไม่ออก รู้สึกรอบนี้จะได้นั่งจริงๆจังๆซักที555 ตอนนั้นน่าจะ11โมงแล้วก็นั่งรอไปเรื่อยๆ 
ซักพักผลออกเขาก็จะให้ใบเสร็จอีกใบเราไปจ่ายเงินก่อนมารับใบรับรองแพทย์ เสียอีก 100บาท 
จ่ายแล้วก็กลับมารับแล้วกลับบ้านได้เลย เฮ้

เบร็ดเสร้จ เสียไป 400จ้า


MissV